วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

13 เมษายน... คิดถึง ทวี เกตะวันดี


วงกลมขมขื่นซ้อนสี่เหลี่ยมปวดร้าว
และความสับสนในความนึกถึงเพื่อน


1.โคกตะแบก ตำบลในนวนิยายเรื่อง--ตะวันหลั่งเลือด ชื่อเปลี่ยนใหม่เพื่อให้เหมาะสมเป็นภาพยนตร์ งานเขียนของ "เรียมเอง" หรือ ครูมาลัย ชูพินิจ ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือและรักของหลายคนรวมทั้งผม ทวี เกตะวันดี เป็นผู้เขียนบท ทวี ณ บางช้าง หรือ ครูมารุต เป็นผู้อำนวยการสร้าง อุไร ศิริสมบัติ เป็นผู้สร้างฉาก ชายผู้นี้ผมไม่แน่ใจว่ามีใครเรียกเขาว่าเป็นผู้กำกับฝ่ายศิลปไหม แต่ผมมอบตำแหน่งนั้นให้ด้วยความคารวะในผลงาน และอาวุโส และความเป็นศิลปิน เขาจัดแจงให้ดินสีแดงและนูนเนินที่ดาดดื่นต้นละหุ่งป่าและเสมา เป็นตำบลโคกตะแบกในนวนิยายได้น่าชื่นชม สุเทพ เหมือนประสิทธิ์เวช ก็อยู่ที่นั่นในมาดของมาเวอริค นักพนันแห่งประวัติศาสตร์โคบาล แต่เขารับบทบาทเข้มข้นอีกแบบในภาพยนตร์ หลังงานประจำวันเขาชอบค้นหาตอไม้ประเภทมะสังและตะโก เพื่อทำเป็นเครื่องประดับบ้าน สังวรณ์ พราหมณ์พันธ์ ผมไม่แน่ใจว่าเขาไปทำอะไรที่นั่น แต่เพลงกีตาร์ของเขาทั้งรื่นเริงและปวดร้าว ผมเดินทางไปที่นั่นกับ มนู จรรยงค์ ทายาทนักเขียนผู้ยิ่งยง มันเป็นการเดินทางกะทันหัน ฝนตก--น้ำท่วม--ถนนขาด แต่ผมบอกตัวเองว่าควรไปโคกตะแบก ผมพบใครหลายคนที่นั่น ซึ่งผมอาจเขียนถึงถ้าเขาตาย หรือไม่เขียน ทวี เกตะวันดี ยิ้มบึ้งขึงทักทายเพราะเขาคิดว่าผมคงผิดนัด

2.เหล้าเถื่อน มะขามป้อม! แกงเขียวหวานไก่! ไพ่รัมมี่! นับดาวบนฟ้า! การถกเถียง! เหล่านั้นบรรจุไว้ในการเป็นเพื่อนของเรา ผมกับ ทวี เกตะวันดี เขากับผมมักขัดแย้งกันรุนแรงในความคิดเห็น ในอุดมคติทางการเมือง ในทรรศนะความรักและในงานเขียน เขาพยายามมองหาความดีบนความปวดร้าวของความจน ผมทะลึ่งซอกซอนเข้าไปหาความโหดร้ายของความรวย และคิดว่าควรประจานมัน เราเกือบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนอกจากความเป็นผู้ชาย และทำงานหนังสือพิมพ์ นรก คนบัดซบเท่านั้นไม่รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรบนความขัดแย้ง

3.ทวี เกตะวันดี ได้เค้าโครงเรื่อง สุภาพบุรุษจากกลอนโด่ จากที่นั่น กลอนโด่ ไม่ใช่กลอนโด อย่างที่เข้าใจกันต่อมา หรือไม้เอกหล่นหายโดยบังเอิญ มันเป็นเรื่องราวค่อนข้างทมิฬของหมู่บ้านในป่า เขาพยายามเขียนเป็นนิยาย


4.คาเฟ เดอ เนี้ยว ผมชอบเรียกอะไรให้มันทุเรศแบบนี้ แท้ที่จริงมันเป็นใต้ชายคาบางส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ที่แบ่งเป็นบริเวณโรงอาหาร ทวี เกตะวันดี เป็นนักข่าว ผมเป็นใครก็ได้ที่มีกล้องสะพายไว้บนไหล่ เงินเดือน 400 บาท กาแฟ-ไข่ลวกเป็นอาหารเช้าแห่งความเคยชิน แต่รุ่นโตกว่าเขาต้องกินสตูว์ลิ้นกับขนมปังปิ้ง หรือซีเต๊กราดเกรวีโรยถั่วกระป๋องเม็ดสีเขียว ราคามันจานละสองหรือสามบาท แต่มันก็ไม่เป็นกันเองกับเงินในกระเป๋าของเรา นานๆ เราจึงมีเกียรติเป็นลูกค้าของ คาเฟ เดอ เนี้ยว บรรยากาศที่นั่นใน พ.ศ. นั้น เป็นความประทับใจของผม และผมทึกทักเอาเองว่านาฑีนี้ ทวี เกตะวันดี ก็คงนึกถึง มันเป็นโอกาสของชายหนุ่มจะได้พบบุคคลในวงการมากมาย "นายหนหวย" ชอบกินซูพปีกไก่ของป้า (ชื่ออะไรผมว่าคงไม่มีใครรู้) ราคาไม่แพงจนบางคนสงสัยว่าคงเอาไก่เน่ามาต้ม! บาป! บาปที่สงสัยอย่างนั้น! อุษณา เพลิงธรรม มาดเคร่งขรึมมีเสน่ห์ และพิถีพิถันกับความเคลื่อนไหวรายรอบ นพพร บุณยฤทธิ์ ยังไม่เป็นใครมากกว่านักข่าวสยามรัฐรายวัน เป็นผู้ชายค่อนข้างสวยในแบบของเขา อนงค์ เมษประสาท รุ่นพี่ที่ผมแอบบอกตัวเองว่าคมขำและน่ารัก รัตน์ ศรีเพ็ญ หรือ "พี่เข้" มองใครๆ อย่างเอ็นดูด้วยสายตาของจรเข้ที่ไม่ดุร้าย และเป็นคนสอนผมว่า รักเพื่อนเท่านั้นไม่พอต้องให้อภัยเพื่อนด้วย หลายคนคงไม่ลืมอาเหลาข้าวต้มหม้อดิน ไส้หมูพะโล้ เต้าหู้ ยำหัวไชโป๊ และของกินเบ็ดเตล็ดในจานสังกะสีเคลือบใบเท่าจานรองกาแฟ อาเหลามีความน่ารักร้ายกาจที่มักไม่สนใจว่าใครกินอะไรบ้าง -- เป็นเงินเท่าไร? แต่ใช้วิธีมองหน้าหลังจากอิ่มแล้ว และคิดว่าหน้าไหนควรเป็นเงินกี่บาทกี่สลึง (เหรียญสลึงยังใช้ได้ใน พ.ศ.นั้น) ถ้าไม่มีเงินอาเหลาให้เชื่อไว้ก่อนและไม่เคยทวง ผมใส่แอร์โร่ว์สีชมภูตัวละหกสิบเจ็ดบาท--ถ้าจำไม่ผิด และนุ่งกางเกงบิสค็อพสีเทาปีกนกพิราบ ตัดผมครูว์คัทหรือเรียกว่าทรงลานบิน พ.ศ.นั้นหัวยังไม่ล้าน มะนะ แพร่พันธุ์ ยาเขียวของเพื่อนก็ลานบินเหมือนกัน และดูเหมือนเราสองคนเท่านั้น ทวี เกตะวันดี เรียบร้อยและสะอาดในการแต่งกาย กางเกงสีขรึม เชิ้ร์ทสีขาวพับปลายแขน เขาเป็นบางอย่างคล้ายพี่ อิศรา อมันตกุล ผู้จุดไฟแห่งการต่อสู้ให้กับชายหนุ่มมากมาย รวมทั้งผมก็ได้รับบางส่วน

5.สาบาน! ผมมองเขาอย่างคนแปลกหน้า บางทีเพราะเขาไม่ซุกซนเหมือนผมกับเพื่อนบางคน และเขามองผมอย่างไรผมไม่แยแส แต่ 07.15 น. ของเช้าวันไหนก็ช่างมัน ทวี เกตะวันดี กับผมกระแทกเหล้าของกันและกัน แล้วเราก็เป็นคนรู้จักกัน ก่อนเป็นเพื่อนกัน

6.เพื่อนเป็นคำที่มีความหมายกว้างไกลของสังคมในประเทศนี้ และมันเป็นความดี

7.ทำไม สัมฤทธิ์ คำพะอุ โทรศัพท์มาหาผมจากโรงพยาบาล

"ผมกำลังเฝ้าไข้ พี่วีให้ถามผมว่ามีธุระอะไรจึงไปหาที่บ้านเมื่อคืน?"

"คิดถึงก็ไปหา..."

"เท่านั้นหรือ?"

"อาการเป็นยังไงบ้าง"

"มีหลายโรค ทั้งโรคจริงโรคแทรก แต่ไม่มีอะไรน่าวิตกแล้ว นอกจากการพักผ่อน นี่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน"

"บอกเขาแล้วผมจะไปหา..."

(หลายประโยคนี้ไม่ตรงตามคำพูดทั้งหมด ผมเขียนจากความจำบนความจริง รายละเอียดอื่นผมทอนออกบ้าง รวมทั้งความรู้สึกจากนาฑีเหล่านั้นถึงนาฑีนี้)

8.แล้วผมได้ข่าวตาย!


9.ผมไม่เคยเกรงใจเขา ผมเคยไปหาเขาตอนดึกหลายหน ดึกหมายถึงเลยเที่ยงคืนหลายชั่วโมง ผมไปอย่างไม่มีเหตุผลและไร้สาระ ผมเมา ผมต้องการพบใครสักคนนอกจากกะหรี่ ทวี เกตะวันดี ลงจากห้องนอนมาต้อนรับ เขาซ่อนความหงุดหงิดไว้ได้อย่างไรก่อนเดินไปค้นเหล้ามาให้ผมกิน แล้วเราคุยกัน เขาหัวเราะขรึมถ้าผมพูดถึงความขบขันเหี้ยมเกรียมของชีวิต บางทีผมร้องไห้แต่เขาไม่ปลอบโยน เขาคงรู้ว่ามันไม่จำเป็น ผมคิดว่าคืนหนึ่งเขาโกรธผมพอสมควรที่ผมไม่ฟังคำทัดทานของเขา ผมเมามากและดื้อรั้นจะขับรถยนต์ไปในความเมานั้นเกือบสามร้อยกิโลเมตรบนถนน มุ่งสู่ตะวันออกเฉียงเหนือ เขามองผมเหมือนเราคงไม่พบกันอีกด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาดีดนิ้วปัดปอยผมที่หล่นบนหน้าผาก ทำไมผมไม่เกรงใจเขา? มันเป็นความระยำของผมที่ไปตะโกนเรียกเขาในเวลาค่อนคืน และมันก็เป็นความอ่อนแอของผมที่ไม่ทนทานกับความว้าเหว่ เหตุผลที่ผมไปหาเขามันไม่มีเหตุผล

10.เราเคยเขียนคอลัมน์เคียงกันนานราวสี่เดือน ในหนังสือพิมพ์รายวันหลักเมือง ยุค ดิลก ธีรธร เป็นบรรณาธิการ เหนื่อยและสนุกกันบัดซบ ผมกับเขานั้นชอบกินเหล้ากับก๋วยเตี๋ยวแห้ง (ให้เอาเส้นทิ้ง) เป็นแกล้ม และเรามักเลือกร้านคับแคบแถวนางเลิ้ง แคบและสกปรก บางทีมันอาจเป็นอารมณ์ประชดประชัน เพราะเขากับผมคุยกันล้วนแต่เรื่องกว้างและไกล

11.ผมเดินทางไปอเมริกา เขารู้สึกกังวลทั้งจากคำพูด และต่อมาผมได้เคยอ่านที่เขาเขียนถึงผมด้วยความเป็นห่วง

12.เขามานอนกับผมที่บ้านบางซ่อนก่อนเดินทาง ทวี เกตะวันดี บ่นว่าผมอาจโดนงูกัดตาย เพราะในห้องนอนมีกิ่งกระถินลอดเข้ามารุงรัง ตอนนั้นผมบ้าปรัชญาแบบบี๊ทนิค ผมบอกเขาว่าจะซื้อแจ๊คเก็ทแดงส่งมาให้ มันคล้องจองกับบุคลิกของเขาอย่างประหลาดในอายุที่ยังหนุ่ม และเพื่อนล้อเลียนว่าเขาเป็น ทรอย โดนาฮิว หรือ ทรอย ดูน่าหิว แต่เขาไม่เป็นใครนอกจากเขา และเป็นนักเดินทางบนถนนความคิดที่ผมยอมรับ

13.ในร้านข้าวมันไก่หัวลำโพง เรานั่งกันที่นั่นจนถึงเวลาพระออกบิณฑบาตเสมอ เขาเขียน--โศรยาที่หัวลำโพงสแควร์ และอีกหลายเรื่องจากความสะเทือนใจที่นั่น ผมเขียนเรื่องสั้นชื่อ--มาดเกี้ยว และอีกบางเรื่อง ทำไมเราจึงนั่งกันได้เดือนละกว่าสิบคืน มันไม่ใช่ความเคยชินเท่านั้น คำตอบที่ผมพยายามค้นหาคือที่นั่นมันเป็นป่าช้าและสวนดอกไม้ที่เหม็นของเรา

14.ผมไปถึงแซนแฟรนซิสโก ขณะที่บี๊ทนิคกำลังจะตาย และขบวนการฮิปปี้ส์เข้ามาแทนที่เพื่อประท้วงสังคม ผมหัวเราะและร้องไห้อยู่กับความสับสนนั้นหลายปี และไม่ได้ซื้อแจ๊คเก็ทแดงส่งมาให้เขาที่กรุงเทพ

15.ความตาย! ผมจำนนถ้อยคำในขณะความรู้สึกอลหม่าน แล้วผมพาลเกลียดไปถึงนักปราชญ์บางคนที่ให้คำจำกัดความว่า--ความตายเป็นรางวัลของการมีชีวิต และไอ้ห่าอีกคนที่มันพูดว่า -- ดีซิ! ผู้คนมีคำพูดฟุ่มเฟือยเกี่ยวกับความตาย น้ำตาเป็นพวงหรีด--ผมก็เคยได้ยินพูดกัน ผมรู้เท่านั้นผมรู้สึกอย่างไรก้บความตายของ ทวี เกตะวันดี

16.ผมเขียนไว้หลายประโยคด้วยลายมือยุ่งเหยิงก่อนลงพิมพ์ดีด มันเป็นวงกลมซ้อนสี่เหลี่ยมในความนึกถึงเพื่อน ผมลังเลแล้วผมเปลี่ยนใจว่าควรเก็บไว้เขียนให้กับความตายของผมบ้าง แต่ผมอาจเขียนเป็นนิยาย

17.ผมอยากพูดกับเขาประโยคสุดท้าย

"ทวี! คุณอยู่ที่ไหนนาฑีนี้? ผมก็ไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน?"








หมายเหตุ... 
ทวี เกตะวันดี (รมย์ รติวัน, บุษบา เริงชัย, รอย ฤทธิรณ ฯลฯ) เพื่อนรักมากคนหนึ่งของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2517
ในหนังสือ อนุสรณ์ ทวี เกตะวันดี นักรบผู้ขาดเหรียญ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ร่วมเขียนในส่วนที่เป็น ประวัติเพื่อนเล่า ใช้ชื่อว่า วงกลมขมขื่นซ้อนสี่เหลี่ยมปวดร้าว และความสับสนในความนึกถึงเพื่อน ซึ่งนำมาให้อ่านกันทั้งบทข้างต้น (เน้นสีโดยบล็อกพญาอินทรี)
เป็น ข้อเขียนสำหรับหนังสืออนุสรณ์ ที่เราว่าดีที่สุดชิ้นหนึ่งของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น