วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

นาฑีที่ถูกทาบทามเป็นรัฐมนตรี



คนแบบ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) รับเชิญเป็นรัฐมนตรี

มิถุนายน 2525 จันทร์ 12.15 น. ผมนั่งกินเหล้าแค็มปารีผสมโซดาประดับมะนาวฝานในห้องจามจุรี อิมพีเรียล และรอผู้หญิงบางคน...! เหล้าองุ่นอิตาลีสกุลนี้สวยเหมือนกุหลาบแต่กลิ่นเหมือนรากไม้เผาไฟดองแอลกอฮอล์ รสนวลและดีกรีอ่อนลูบไล้อารมณ์ในเวลาที่ไม่ต้องการความรุนแรงของวิสกี้ ผู้หญิงคนนั้นผมไม่อยากให้หล่อนมาพบเวลาเที่ยงตรง หล่อนควรมาสายสิบนาทีหรือสิบห้านาทีเพื่อใครและใครที่มาถึงก่อนสังคมกรุงเทพฯ-มีโอกาสได้มองความสวยของหล่อน ผมไม่หวงถ้าใครอยากเล่นรักกับหล่อนบ้างด้วยสายตา แต่ผมจะไม่ยินยอมให้ใครล่วงล้ำหล่อนมากกว่านั้น...! ผมไม่แยแสกับนินทาว่าร้ายของสังคม ทั้งที่เป็นความจริงว่าผมถูกรบกวนความเป็นส่วนตัวเสมอในการใช้ชีวิตแบบของผม ผู้คนที่ไม่พยายามปลดปล่อยตัวเองสู่วงจรเสรีภาพแห่งความรัก และรวมทั้งผู้คนประเภทมือถือสากปากคาบคัมภีร์ พากันถือสิทธิ์โดยไม่ชอบธรรมเพื่อจะกำหนดขอบเขตศีลธรรมของผู้อื่น

เพื่อนบางคนผู้กลับจากปารีสเคยถามว่า

"สังคมบางด้านของกรุงเทพฯเป็นอย่างไร"

ผมยักไหล่

"ครับ-ก็คงเหมือนยี่สิบปีก่อนน่ะแหละคุณ...! เศร้ากว่าเม็ดน้ำตา! กลุ้มกว่าเม็ดแอสไพริน! ผู้คนระดับไฮท์โซไซเอตี้สนใจกับเรื่องผัวเมียคนอื่นมากกว่าของตัวเองในห้องนอนที่บ้าน! และมักทึกทักว่าความเป็นเพื่อนระหว่างเพศจะต้องมีอะไรแฝงเร้นทุกกรณี! ครับ-มันค่อนข้างอันตราย...ถ้าคุณชวนผู้หญิงดินเนอร์สองต่อสอง! อันตรายจากพิษน้ำลายในปากสังคม!"

ผมตอบอย่างนั้น แต่ผมพร้อมจะตอบโต้ทุกรูปแบบกับใครก็ตามผู้พยายามล่วงละเมิดสิทธิ์

เปล่า! ผมไม่ใช่เพลย์บอยตามที่หมายถึงโดยมาตรฐานของนิตยสารฉบับนั้น ผมเป็นผู้ชายบางคนเท่านั้น ผมรักดอกไม้ ผมรักเหล้าสกุลดี ผมรักเพลงแจ๊ซซ์และผมรักกัญชา ผมรักรถยนต์ และผมรักผู้หญิง

เวลากินเหล้าผมพูดเกี่ยวกับการเมืองบ้าง แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธจะพูดถึงแม่ม่ายบางคน หล่อนจบชีวิตสองคืนก่อนโดยเจตนากินแวเลี่ยมเกินพิกัดของมิลลิแกรมที่นายแพทย์อนุญาตให้กล่อมประสาท ชีวิตขาดรสรักและรสสวาท ความสวย-ความร่ำรวย-ความเป็นผู้ดี-และความมีจิตใจงดงามไม่มีผลตอบแทนอย่างยุติธรรมกับหล่อนบ้างเลย หล่อนไม่ใช่เหยื่อคนแรกและคนสุดท้ายของสังคม ผมพูดถึงหล่อนด้วยความคารวะกว่าผู้ชายบางคนมีความรู้สึกกับโอลีฟว์ในแก้วมาร์ทินีของเขา

แค็มปารีผสมโซดา...

ผมครุ่นคิดถึงผู้หญิงอีกคน ผมเพิ่งเขียนถึงหล่อนใน-นินทากรุงเทพฯ เดลินิวส์ ฉบับวันจันทร์ที่ผ่านมา

 ลานา เทอร์เนอร์ 62 กะรัต ดาราฮอลลีวู้ดและผู้หญิงสวยไม่เคยโรยกลีบ พูดหลายประโยคด้วยความจริงใจกับชีวิต "ดิฉันกับเซ็กส์ไม่ใช่ของอย่างเดียวกันค่ะ..." การแต่งงานเจ็ดหนและการเล่นรักกับผู้ชายหลายคนนั้นไม่หมายถึงความสุขและเสพย์สม หล่อนผิดหวังกับใครหลายคน และหล่อนได้เพียงบางอย่างจากบางคนและไม่ได้อะไรบ้างเลยก็มีเหมือนกัน! หล่อนไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเท่ากับไม่ใช่ความผิดของเขา! ผู้ชายบางคนหล่อนไม่รักเขาแต่เขาบูชาหล่อน (และบางคนกลับกัน) ในบัญชีรายชื่อผู้ชายเหล่านั้นรวมทั้งมิลเลียนแนร์ โฮเวอร์ด ฮิวจ์ นักกล้าม เล็กซ์ บาร์เคอร์ นักเล่นรัก ไทโรน พาวเวอร์ อาร์ตี้ ชอว์ โรเบอร์ท อิทัน และนักเลงมาเฟีย จอห์นนี่ สต็อมพินาโต้ แต่หล่อนปฏิเสธเกี่ยวกับคล้าร์ค เกเบิ้ล หล่อนพูดว่า "งานเป็นงาน! ดิฉันไม่เล่นรักกับผู้ชายที่ดิฉันนับถือค่ะ!"

การนินทาของผมไม่ว่าร้าย!

และไม่พยายามสร้างความปวดร้าวให้กับผู้ถูกนินทา!

นี้ผมถือเป็นจรรยาบรรณ!


12.30 น. ผมรู้สึกว่ากำลังถูกมองโดยใครบางคนจากสทูลหน้าบาร์ และหล่อนเป็นผู้หญิงประกายตาสีขาบ (บลู) ผมยิ้มกับหล่อนตามมารยาท ยิ้มแบบสุภาพบุรุษที่แขวนเน็คไทไว้กับคอเชิ้ร์ท หล่อนยิ้มตอบบนริมฝีปาก และเบี่ยงก้นลงจากสทูลนั้นเดินมา...

"ขอโทษ-ดิฉันรบกวนคุณหรือเปล่า?"

"......!" ผมยักไหล่

"เพื่อนบางคนแนะนำว่าดิฉันควรมองคุณค่ะ ดิฉันลงมาจากห้องหมายเลข 204 สิบกว่านาทีแล้ว นานพอจะสร้างจินตนาการกับความเคลื่อนไหวของคุณ..."

สำเนียงในประโยคบอกว่าหล่อนควรเป็นผู้หญิงอังกฤษ

"เชิญนั่ง-ถ้าไม่รังเกียจว่านาทีไหนก็ได้เพื่อนผมจะมาตามนัดหมาย"

"เกิร์ลเฟร็นด์?" หล่อนยิ้ม

"เพื่อน และบังเอิญหล่อนเป็นผู้หญิง!"

ผมยิ้มตอบด้วยแววตาของหมาจิ้งจอกป่าคอนกรีต

"ซูซี่ ฟิกจิส ชื่อของดิฉันค่ะ"

หล่อนนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามพร้อมกับมือถือเหยือกเบียร์

".........." ผมแนะนำตัวเองบ้าง

"ดิฉันเป็นฝ่ายหาผู้แสดงให้กับกองถ่ายภาพยนตร์ - ไซก็อน"

ตำแหน่งของหล่อนหมายถึง-casting director

ไซก็อน-ไซง่อน-SAIGON



ผมเคยอ่านพบบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่าบริษัท Thames-T.V. ยกกองถ่ายมาพักบนชั้นสองของอิมพีเรียล ดาราและผู้กำกับการแสดง และผู้ร่วมงานหลายระดับจากช่างแต่งหน้าถึงช่างไฟและช่างไม้ จำนวนหลายสิบคนเดินกันขวักไขว่บนล็อบบี้ ในบาร์พี้พ-อินน์ ในจิมมี่'ส คิชเช็น และคืนวานใน ทิวดอร์ กริลล์ รูม อากร ฮุนตระกูล ผู้ประสบความสำเร็จกับธุรกิจโรงแรมนี้เปิดแชมเพญให้กับวันเกิดของใครบางคนซึ่งเป็นนักแสดงระดับดารา

และ-ผมไม่รู้อะไรมากกว่านั้น

"ค่ะ-ดิฉันกำลังมองหาบุคลิกแบบคนรวยมหาศาลและมีอำนาจแต่ใบหน้าของเขาแบบเอเชี่ยน คนที่มีภาระมากมายแต่ดูผิวเผินเหมือนไร้สาระ เขาเป็นนักการเมืองระดับสูงนะคะ แต่เขาใช้เวลาในกระทรวงน้อยกว่าในสโมสรกับเหล้า ไพ่ และผู้หญิง! เขาเป็นคนทรยศเพื่อนและคนโกงประชาชน! เขาไม่เคยไว้วางใจใครแม้แต่ตัวเองหรือพระในโบสถ์! แต่เขาไม่สำนึกในบาป! เขาฉลาดเหมือนงูพิษในป่าดิบแต่ในบางด้านของสีสันเป็นผู้ชายมีเสน่ห์! ค่ะ-บุคลิกแบบเพลย์บอย และเขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ!"

"คุณพบใครคนนั้นหรือยัง?"

"ดิฉันกำลังพูดกับเขาแล้วค่ะ!"

"...!" ผมสบถก่อนเรียกหล่อนอย่างถือวิสาสะ "ซูซี่-รู้ไหมคุณกำลังพูดกับใครนาฑีนี้?"

"ไม่-อือม์...งานของดิฉันบางทีก็ไม่มีเวลาจะสอบถามอะไรกับใครมากนัก คุณคงไม่คิดว่าดิฉันจาบจ้วงเอากับคุณเกินควรนะคะ และไม่มีมารยาท ขอโทษ-คุณเป็นใคร?"

"ผมก็ไม่เคยแน่ใจว่าผมเป็นใครแท้จริง!" ผมยักไหล่เย่อหยิ่ง "แต่ผมเคยได้ยินหลายคนพูดกันว่าผมเป็นนักเขียน..."

"......!"

"วันเวลาผ่านมา และผมโดนกล่าวหาว่าเป็นนักเขียนอาวุโสของประเทศนี้"

"..........!"

ซูซี่ ฟิกจิส นิ่งก่อนลูบนิ้วลบฟองเบียร์บนริมฝีปาก








หมายเหตุ : งานเขียนในนิตยสารโลกดารา ปีที่ 13 ฉบับที่ 300, 31 ตุลาคม พ.ศ.2525 ซึ่ง 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เล่าถึงตอนที่ถูกทาบทามให้รับบทรัฐมนตรี ในหนังสำหรับฉายทางโทรทัศน์ของอังกฤษเรื่อง Saigon: Year of the Cat (1983) ของผู้กำกับ สตีเฟ็น เฟรียส์

สำหรับ ซูซี่ ฟิกจิส (Susie Figgis) ที่กล่าวถึง ทุกวันนี้ยังเป็น Casting Director ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่เคารพนับถือในแวดวงหนังอังกฤษ เป็น Casting Director ขาประจำให้กับ นีล จอร์แดน (The Crying Game) หลายเรื่องของ ทิม เบอร์ตัน (Alice in Wonderland) และร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังนับไม่ถ้วน หนังเรื่องล่าสุดที่เธอมีส่วนร่วม (Casting by) ซึ่งเข้าฉายในไทยคือ The Tourist (2010) ที่มี จอห์นนี่ เด็ปป์ ประกบกับ แองเจลินา โจลี่



วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

แสบสันต์ UNSEEN

หมายเหตุ : งานเขียนจากคอลัมน์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) แสบสันต์ ในหนังสือพิมพ์เสียงปวงชน ฉบับวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2519 ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในหนังสือ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) แสบสันต์ (2521)


การถกเถียงอย่างฟุ่มเฟือย

หลังจากดับไฟทุกดวง ให้เหลือเพียงสีหม่นของกลางคืน และเงารำไรของต้นไม้ ข้าพเจ้าเกือบเผลอร้องเพลง ถ้าเพื่อนบางคนไม่ชิงร้องก่อนในทำนองแหบเศร้าคร่ำครวญ เราได้ผ่านการถกเถียงกันมาอย่างยับเยินดูเหมือนเรามี(และไม่มี) เหตุผลจะถกเถียงกันอย่างฟุ่มเฟือย

“ผมไม่เคยเชื่อถือการทำงานของค็อมพิวเตอร์เลย”

บางคนพูดในกังวานดูแคลน

และบางคนท้วง “แต่การเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์จะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไอ้สมองห่-เหวนี่มันไม่ช่วยเหลือ”

“ผมไม่วายรู้สึกว่ามันดูถูกความเป็นคนของเรานี่หว่า!”

เท่านั้นเราก็ถกเถียงกันได้นานหลายนาฑี

ในบางนาฑีเราย้อนคารมกลับมาประณามป่าคอนกรีท

“มันทำให้กรุงเทพฯ ระอุอ้าว” บางคนว่า

“แต่คุณก็จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นการบันดาลความเจริญ เชื่อผมเถอะน่ะ คุณจะปฏิเสธอะไรอีกสารพันไม่ได้ กรุงเทพฯของเราแคบลงเพราะคนมากขึ้น และราคาที่ดินแพงวายปราณ ตึกสูงๆ มันก็จำเป็น”

“ผมคิดถึงกระท่อมและลำประโดง”

“ก็ไม่มีใครหวงห้ามถ้าคุณจะไปอยู่กลางทุ่งนา แล้วตื่นตีสองเดินมารอรถประจำทางริมถนน มาทำงานในกรุงเทพฯ”

เราเกือบเตะปากกัน เพราะจากตึกถึงกระท่อมแล้วก็มีปัญหาระหว่างคนรวยกับความจนเข้ามาแทรกแซง

บางคนพยายามจะพูดให้เชื่อว่าเขาบูชาความจน ในขณะที่ลมหายใจของเขาอวลกลิ่นสก๊อทช์วิสกี้

เรายังถกเถียงกันอีกในนาทีต่อมาและต่อมา



“ผมขายความคิด..” ใครคนนั้นพูด “มันเป็นความคิดอันหรูหรามากกว่าที่ใครได้เคย...ค้นคิดกันออกมา”

“ได้ราคาดีไหม?”

เขายิ้มสร้อย “มันไม่มีราคาเลย คนทุกวันนี้โง่บัดซบ! โง่จนไม่ยอมทำความเข้าใจกับความคิดของผม”

“อะไรคือความคิดของคุณ?”

“มันก็คืออะไรที่คุณไม่เคยคิดนั่นแหละ” เขาตอบเย่อหยิ่ง “คุณมันงมงายอยู่กับความคิดเก่าๆ ของสังคมฟอนเฟะ จมอยู่ในปลักแห่งอบายมุข โดนตรึงอยู่ในตาข่ายของความร้อนรนทางกามคุณ ไม่แยแสเลยหรือว่าเรากำลังอยู่ในยุคสมัยของความสับสนอลหม่าน แต่คุณเดินถอยหลังหนีแสงสว่างแห่งปัญญาเข้าไปสู่ความมืด โธ่เอ๋ย-คุณใช้พลังผนึกอยู่บนเตียงมากกว่าจะแปรมันให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำไมคุณไม่เดินแหกม่านประเพณีออกไปอย่างองอาจ และเข่นฆ่าทำลายความคิดอันล้าหลังของบรรพชน น่าสงสาร! ผมอยากสงสารคุณเหลือเกินที่ยังยึดมั่นอยู่กับความกตัญญูรู้คุณ บ้า! คุณยกย่องอดีต แต่ประเมินราคาของอนาคตถูกเหลือเกิน คุณไม่สนใจกับอนาคตบ้างเลย เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่สนใจผม ไม่สนใจในความคิดของผม รู้ไหม? ผมนี่แหละโว้ยคืออนาคต”

เราอนุญาตให้เขาพูดจนสีบนใบหน้าเปลี่ยนจากแดงระเรื่อเป็นแดงข้นของกลีบกุหลาบ

แล้วเราค่อยทยอยกันกลับ ทิ้งเขาไว้ให้ถกเถียงกับตัวเองแต่ลำพัง

ถ้าเขาคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาจะแสดงความคิด เราก็มีสิทธิ์จะระแวดระไวไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้ามาในแวดวงความคิดอันสุจริตต่อมาตุภูมิของเรา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และวันพรุ่งนี้








**เราพบภายหลังว่างานเขียนชิ้นนี้คัดจากบทแรกของหนังสือ 00.00 น.