วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วานปีศาจพูด : บทสนทนาที่ไม่เคยเผยแพร่


"บทสัมภาษณ์นี้น่าจะมีอายุถึง 30 ปี..."

บางประโยคในจดหมายที่ มเหยงค์ (ประยูร บูรณะศิริ) ส่งมาถึง เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ แห่งมติชน เล่าถึงต้นฉบับบทสัมภาษณ์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่ส่งมาให้พร้อมกัน

มเหยงค์ เล่าว่าก่อนหน้าที่จะทราบข่าวการเสียชีวิตเพียง 2-3 วัน ขณะรื้อค้นตู้เพื่อรวบรวมต้นฉบับลายมือและต้นฉบับถอดเทปสำหรับส่งมอบให้สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเก็บไว้เป็นสมบัติสาธารณะได้พบบทสัมภาษณ์ดังกล่าว

เป็นบทสัมภาษณ์ในกิจกรรมบรรยายความรู้ความบันเทิงให้แก่พนักงานธนาคารกรุงเทพทุกเที่ยงวันศุกร์ปลายเดือน โดยผู้สัมภาษณ์คือ พงษ์ พินิจ (พินิจ พงษ์สวัสดิ์) ซึ่งทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ และมีการบันทึกเสียงและถอดคำไว้ จึงส่งมาให้ เรืองชัย ในฐานะศิษย์ก้นกุฏิดูแลรักษาแทน

ตีพิมพ์ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 30 ฉบับที่ 7 พฤษภาคม 2552 คัดมาบางช่วงตอนดังนี้


"หัวข้อเรื่องว่าอะไรนะครับ คุณพงษ์ พินิจ ผมก็ลืมไปแล้ว ถนนหนังสือ ถนนนักเขียน มันเป็นถนนจากไหนถึงไหนก็ไม่รู้ จากนนทบุรีมาถึงนี่ก็รู้สึกว่าอากาศร้อนมาก แล้วก็รถติดมาก อุณหภูมิเท่าไรวันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ว่าถ้าผมพูดอะไรที่มันบ้าๆ ออกไป โทษอากาศเลย ผมเป็นคนบ้าอย่างนี้แล้วตามปกติ

"จะให้เล่าถึงการเป็นนักเขียนก็คงจะเล่าไม่ได้ เพราะว่ามันมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถจะเล่าได้ คนเราพูดเรื่องตัวเองได้ลำบากครับ เพราะฉะนั้นถ้ากรุณาถามขึ้นมา ผมจะตอบให้จะดีเสียกว่าครับ ไหนหน้าม้า เห็นว่าไว้ 4-5 คน หายหน้าไปไหนหมด งาบเงินแล้วหนี (หัวเราะ)

"ใคร่จะเรียนชี้แจงกับ คุณพงษ์ พินิจ และเรียนกับท่านผู้ฟังผู้มีเกียรติในที่นี้ไว้ด้วยว่า ในขณะนี้ผมก็มีแนวโน้มว่าไม่ได้รักผู้หญิงอย่างเดียวแล้ว กำลังเริ่มรักผู้ชาย เพื่อจะให้ทันสมัย คนเดี๋ยวนี้ต้องรักผู้ชายด้วยกันครับ ก็ไม่ถึงอเกย์ อเกย์ยังน้อยไป ผมยังเป็นไบเซ็กชวล คือรักกับผู้หญิงและผู้ชาย วันจันทร์นอนกับเมียที่เป็นผู้หญิง วันอังคารนอนกับเมียที่เป็นผู้ชาย คงจะมีความสุขมากในเวลาที่ยังเหลืออยู่ เรื่องอะไรที่จะมายอมเสียเปรียบไม่ยอมสัมผัสเพศชายด้วยกันที่น่ารัก (หัวเราะ) นี่แหละเป็นความจริงใจ ไม่ปิดบังใคร ไม่มีกฎหมายมาห้ามไม่ให้ใครเป็นไบเซ็กชวล (หัวเราะ)

"ผมบอกแล้วนะครับว่าผมเป็นคนบ้านะครับ อย่าไปโทษอากาศนะครับ มันมี 2 อย่างนะครับ ไม่ทำงานไม่เขียนหนังสือก็ทำอะไรบ้าๆ บอๆ นะครับ

"ผมชอบเดินทาง ผมเคยพูดเสมอว่าการเดินทางมันเป็นสายตาของนักเขียน ผมชอบพบผู้คน ผมชอบอะไรอย่างนั้นมันเป็นสันดานของผมเอง สันดานสาระแน คือผมเป็นคนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงเป็นเช่นนี้

"อย่างพรุ่งนี้ผมจะขึ้นรถไฟไปอุบลราชธานีคนเดียวกับกระเป๋า เทปอัดเสียงอันหนึ่ง กล้องถ่ายรูปอันหนึ่งกับปากกาด้ามหนึ่ง ผมสามารถพูดคุยกับคนทั้งขบวนรถโดยไม่รู้จักมาก่อน ผมอยากจะคุยกับใคร ผมก็คุยกับเขาเลย บางทีเขาสงสัยว่า เออ นี่ผมบ้าไปหรือเปล่า ไปถามเขาว่าลุงมาจากไหน เมื่อวานกินอะไร ปลาแดกมันแสบบ่ คือเป็นคนอย่างนั้น คือเสือก เป็นคนทะลึ่ง


"ผมเป็นคนชอบดูชีวิตมนุษย์ นี่ก็ผมเพิ่งเดินทางกลับจากอุบลฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็เดินทางรอนแรมไปในความร้อนพร้อมตีนเก่าๆ คู่นี้ ก็ผมชอบใช้คำว่าตีน ขอประทานโทษ มันชัดเจนดี (หัวเราะ) คือผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้คำว่าเท้า ไอ้เท้านี่มันพิกล ใช้ตีนนี่มันชัดมาก และผมบังเอิญตีนผมเป็นตีนที่มีคุณภาพคือทนทาน ตีนใหญ่ตีนโต ไม่ใช่ตีนขุนนาง เป็นตีนที่พร้อมจะเดินไปทุกแห่งทุนหน

"นี่สักเดือนหน้าก็ไปแอฟริกา ผมมานั่งดูรูป ดูไปดูมาถึงแม้จะดำก็มีอะไรดีๆ อยู่ (หัวเราะ) จริงๆ มีอะไรพิลึกๆ อยู่ ....ถ้าเป็นไปได้ในปลายปีก็อาจไปเอสกิโม เพราะมีเอสกิโมมีธรรมเนียมที่น่ารักมาก คือว่าถ้าไปนอนบ้านใครก็ให้ไปนอนกับเมียด้วย คือเขาบอกว่าเมียไม่สึกไม่หรอ ถ้าเพื่อนยืมมีดไปมีดมันทื่อ ถ้านอนกับเมีย เมียไม่ได้เป็นอะไร เมียมีความสุขหล่อนก็รื่นเริง เขาบอก นี่ก็เป็นประเทศที่ผมใฝ่ฝันว่าจะต้องไป พร้อมทำตัวให้แข็งแรงพอสมควรทีเดียว ไม่งั้นจะเสียสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับเอสกิโม (หัวเราะ) นี่แหละครับการเดินทาง

"พอไปถึงอเมริกามีความรู้สึกไม่เคารพนับถือ ไม่ค่อยเกรงใจด้วย ถากถางคนอเมริกันเล่นสนุกที่สุด ไม่มีชาติไหนเกิดมาสำหรับโดนถากถางเท่ากับคนอเมริกัน เป็นคนไร้สาระ ไม่อะไรเลยมีแต่สตางค์ มีเงินมากมายก่ายกอง มีตึกไม่รู้จะสร้างทำไม ผมก็ไม่เข้าใจตึกก็มากมายแล้วจิตใจคนก็ดำลงๆ จิตใจจืดใจก็เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น เหมือนกับที่ผมไม่เข้ากรุงเทพฯเลย คุณอย่าแปลกใจผมไม่เคยเข้ากรุงเทพฯ น่ะ นี่ผมเพิ่งเข้ามานี่ นึกว่าเขาคงจะให้ค่าจ้างพูดบ้าง (หัวเราะ) ก็เลยบากหน้ามา

"ทีนี้ถ้าไปเมืองจีนมันนอกจากมีความรู้สึกเหมือนไปเยี่ยมญาติ ความรู้สึกอีกอย่างคือไม่กล้าไม่ค่อยดูถูกคนจีนนะฮะ เราจะไปดูถูกคนจีนไม่ได้เลย ไม่ว่าคนจีนที่เดินในฐานะเป็นคนงานคนหนึ่ง ชาวนาคนหนึ่งบนถนน หรือเป็นคนจีนที่ใช้เสื้อผ้าดีๆ

"ผมมีวิธีเล่นมหรสพกับตัวเองตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นว่าต้องมีผู้หญิง (หัวเราะ) ทำได้ทั้งนั้น (หัวเราะ) ก็ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร ผมก็ประหลาดใจมีคนที่ไปด้วยกันคือไปเมืองจีนหลายๆ คนที่ผมรู้จักรู้สึกกระวนกระวายกันมาก มันไม่มีไนต์คลับ ก็ไม่เห็นน่าจะกระวนกระวาย บางคนก็เดือดร้อนผู้หญิงจีนไม่ทาลิปสติค ทำให้โลกของมันมัวหมองไป

"ทุกสิ่งทุกอย่างเรามองแล้วเราเห็นความงามได้ มันไม่จำเป็นว่าต้องมานั่งตามสถาบันของบาร์แมงหรือคริสเตียนดิออร์ ไม่จำเป็น อยู่ที่ไหนก็ได้ ทีนี้โดยเหตุผลที่ผมจะไปแอฟริกาและเอสกิโม (หัวเราะ) เรามองแลเห็นสวยมันก็สวย มันอยู่ที่จิตใจเรา มันอยู่ที่อารมณ์ ความรู้สึกของเราที่เรามองเห็นโลกมันสวยงาม มันบริสุทธิ์ใช่ไหมครับ

"แต่ถ้าวันที่ผมมาส่งดอกเบี้ยที่ธนาคารนี้ ต่อให้คุณเอาผู้หญิงสวยมาแก้ผ้า ผมก็ไม่เห็นสวย ผมจะต้องเดือดร้อนหาเงินค่าดอกเบี้ย ดีไม่ดีจะถีบตกเก้าอี้ (หัวเราะ) มันเป็นอย่างนี้ ต้องขอประทานโทษผมรู้สึกต้องพูดอย่างนี้นะฮะ

"ถ้าวันหลังอยากจะให้ผมมาพูดอีกก็เชิญ แต่มีกฎการตั้งคำถามไว้ด้วย ผมอาจจะพูดได้ดีกว่านี้ กำลังหัดพูด ตอนนี้กำลังเขินๆ อยู่ (หัวเราะ)"