วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

แสบสันต์ UNSEEN

หมายเหตุ : งานเขียนจากคอลัมน์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) แสบสันต์ ในหนังสือพิมพ์เสียงปวงชน ฉบับวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2519 ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในหนังสือ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) แสบสันต์ (2521)


การถกเถียงอย่างฟุ่มเฟือย

หลังจากดับไฟทุกดวง ให้เหลือเพียงสีหม่นของกลางคืน และเงารำไรของต้นไม้ ข้าพเจ้าเกือบเผลอร้องเพลง ถ้าเพื่อนบางคนไม่ชิงร้องก่อนในทำนองแหบเศร้าคร่ำครวญ เราได้ผ่านการถกเถียงกันมาอย่างยับเยินดูเหมือนเรามี(และไม่มี) เหตุผลจะถกเถียงกันอย่างฟุ่มเฟือย

“ผมไม่เคยเชื่อถือการทำงานของค็อมพิวเตอร์เลย”

บางคนพูดในกังวานดูแคลน

และบางคนท้วง “แต่การเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์จะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไอ้สมองห่-เหวนี่มันไม่ช่วยเหลือ”

“ผมไม่วายรู้สึกว่ามันดูถูกความเป็นคนของเรานี่หว่า!”

เท่านั้นเราก็ถกเถียงกันได้นานหลายนาฑี

ในบางนาฑีเราย้อนคารมกลับมาประณามป่าคอนกรีท

“มันทำให้กรุงเทพฯ ระอุอ้าว” บางคนว่า

“แต่คุณก็จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นการบันดาลความเจริญ เชื่อผมเถอะน่ะ คุณจะปฏิเสธอะไรอีกสารพันไม่ได้ กรุงเทพฯของเราแคบลงเพราะคนมากขึ้น และราคาที่ดินแพงวายปราณ ตึกสูงๆ มันก็จำเป็น”

“ผมคิดถึงกระท่อมและลำประโดง”

“ก็ไม่มีใครหวงห้ามถ้าคุณจะไปอยู่กลางทุ่งนา แล้วตื่นตีสองเดินมารอรถประจำทางริมถนน มาทำงานในกรุงเทพฯ”

เราเกือบเตะปากกัน เพราะจากตึกถึงกระท่อมแล้วก็มีปัญหาระหว่างคนรวยกับความจนเข้ามาแทรกแซง

บางคนพยายามจะพูดให้เชื่อว่าเขาบูชาความจน ในขณะที่ลมหายใจของเขาอวลกลิ่นสก๊อทช์วิสกี้

เรายังถกเถียงกันอีกในนาทีต่อมาและต่อมา



“ผมขายความคิด..” ใครคนนั้นพูด “มันเป็นความคิดอันหรูหรามากกว่าที่ใครได้เคย...ค้นคิดกันออกมา”

“ได้ราคาดีไหม?”

เขายิ้มสร้อย “มันไม่มีราคาเลย คนทุกวันนี้โง่บัดซบ! โง่จนไม่ยอมทำความเข้าใจกับความคิดของผม”

“อะไรคือความคิดของคุณ?”

“มันก็คืออะไรที่คุณไม่เคยคิดนั่นแหละ” เขาตอบเย่อหยิ่ง “คุณมันงมงายอยู่กับความคิดเก่าๆ ของสังคมฟอนเฟะ จมอยู่ในปลักแห่งอบายมุข โดนตรึงอยู่ในตาข่ายของความร้อนรนทางกามคุณ ไม่แยแสเลยหรือว่าเรากำลังอยู่ในยุคสมัยของความสับสนอลหม่าน แต่คุณเดินถอยหลังหนีแสงสว่างแห่งปัญญาเข้าไปสู่ความมืด โธ่เอ๋ย-คุณใช้พลังผนึกอยู่บนเตียงมากกว่าจะแปรมันให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำไมคุณไม่เดินแหกม่านประเพณีออกไปอย่างองอาจ และเข่นฆ่าทำลายความคิดอันล้าหลังของบรรพชน น่าสงสาร! ผมอยากสงสารคุณเหลือเกินที่ยังยึดมั่นอยู่กับความกตัญญูรู้คุณ บ้า! คุณยกย่องอดีต แต่ประเมินราคาของอนาคตถูกเหลือเกิน คุณไม่สนใจกับอนาคตบ้างเลย เพราะฉะนั้นคุณจึงไม่สนใจผม ไม่สนใจในความคิดของผม รู้ไหม? ผมนี่แหละโว้ยคืออนาคต”

เราอนุญาตให้เขาพูดจนสีบนใบหน้าเปลี่ยนจากแดงระเรื่อเป็นแดงข้นของกลีบกุหลาบ

แล้วเราค่อยทยอยกันกลับ ทิ้งเขาไว้ให้ถกเถียงกับตัวเองแต่ลำพัง

ถ้าเขาคิดว่ามันเป็นสิทธิ์ของเขาจะแสดงความคิด เราก็มีสิทธิ์จะระแวดระไวไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้ามาในแวดวงความคิดอันสุจริตต่อมาตุภูมิของเรา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และวันพรุ่งนี้








**เราพบภายหลังว่างานเขียนชิ้นนี้คัดจากบทแรกของหนังสือ 00.00 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น